...

จารึกคำปู่สบถ สายสัมพันธ์เมืองน่านและสุโขทัย



























































เรื่อง "จารึกคำปู่สบถ สายสัมพันธ์เมืองน่านและสุโขทัย"
--- จารึกคำปู่สบถ (จารึกหลักที่ ๖๔) ลักษณะเป็นจารึกหินทรายทรงสี่เหลี่ยม  อักษรไทยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๒๐) ภาษาไทย จารึกหลักนี้มี ๒ ด้าน จำนวน ๓๖ บรรทัด  ด้านที่ ๑ มี ๒๖ บรรทัด  ด้านที่ ๒ มี ๑๐ บรรทัด สันนิษฐานว่าจารึก พ.ศ. ๑๙๓๕ พร้อมกับจารึกหลักที่ ๔๕ (จารึกปู่ขุนจิดขุนจอด) ที่วัดมหาธาตุ สุโขทัย  มีขนาด กว้าง ๕๖.๕ เซนติเมตร  ยาว ๓๙ เซนติเมตร  จารึกอยู่ในสภาพชำรุดแตกหักไม่สมบูรณ์  สันนิษฐานว่า เดิมคงเป็นแผ่นหินรูปใบเสมา  พระโสภณธรรมวาที รองเจ้าคณะจังหวัดน่าน ให้ยืมจัดแสดง
--- จารึกหลักนี้พบที่วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร จังหวัดน่าน  เมื่อวันที่  ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๐  โดยนายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร เมื่อครั้งเดินทางขึ้นไปตรวจงานโบราณวัตถุสถานภาคเหนือพร้อมคณะ พบแผ่นศิลาจารึก จำนวน ๓ แผ่น วางอยู่ข้างวิหารวัดช้างค้ำ จึงกราบเรียนเจ้าอาวาสวัดช้างค้ำทราบ  และขอให้ท่านช่วยเก็บรักษาไว้ ทราบความว่าแผ่นศิลาจารึกทั้งหมด ๓ แผ่น นำมาจากบ่อว้า  (อำเภอแม่จริม) จังหวัดน่าน  
ต่อมาในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๒ นายธนิตย์ อยู่โพธิ์ พร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปตรวจงานโบราณวัตถุอีกครั้งหนึ่ง เดินทางถึงจังหวัดน่าน เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทำการถ่ายภาพ และทำสำเนาศิลาจารึกคำปู่สบถ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๒ เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ จึงได้มอบสำเนาจารึกให้ศาสตราจารย์ฉ่ำ ทองคำวรรณ เจ้าหน้าที่อ่านคำจารึกดำเนินการอ่าน-ถ่ายทอด
--- เนื้อความในจารึก กล่าวถึงการกระทำสัตย์สาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัยกับเจ้าเมืองน่าน  และได้กล่าวถึงความสามัคคีระหว่างเมืองแพร่ เมืองงาว เมืองน่าน และเมืองพลั่ว ว่าถ้าเมืองหนึ่งเมืองใด มีอันตรายเกิดขึ้น เมืองนอกนั้นจะต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 
--- จารึกปู่ขุนจิดขุนจอด (จารึกหลักที่ ๔๕) พบจากการขุดแต่งวัดมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๙ โดยหน่วยขุดแต่งและบูรณะเมืองสุโขทัย กองโบราณคดี  กรมศิลปากร และได้เก็บรักษาไว้ที่คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี เมื่อพ.ศ. ๒๕๕๗ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ภายในห้องจัดแสดงประวัติศาสตร์สุโขทัย อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร 
ลักษณะเป็นแผ่นหินรูปใบเสมา ขนาด กว้าง ๓๗ เซนติเมตร ยาว ๘๓ เซนติเมตร หนา ๑๘ เซนติเมตร อักษรไทยสุโขทัย ภาษาไทย มีอักษรจารึก ๓ ด้าน ด้านที่ ๑ จำนวน ๓๗ บรรทัด กล่าวถึงการทำสัตย์สาบานระหว่างผู้เป็นใหญ่ในกรุงสุโขทัย  ด้านที่ ๒ จำนวน ๔๐ บรรทัด กล่าวถึงสวรรค์ชั้นต่างๆ   และด้านที่ ๓ จำนวน ๑๙ บรรทัด เป็นคำสาปแช่งผู้กระทำผิดคิดคด 
--- จากเนื้อความที่ปรากฏในจารึกปู่ขุนจิดขุนจอด และจารึกคำปู่สบถ จึงมีข้อสันนิษฐานว่าจารึกทั้งสองหลักนี้คงเป็นจารึกที่ทำขึ้นคู่กัน ระหว่างกษัตริย์สุโขทัยและเจ้าเมืองน่าน อันได้แก่ พระมหาธรรมราชาแห่งเมืองสุโขทัย ซึ่งในจารึกกล่าวถึงว่า “...กูผู้ชื่อพญาฤาไทยกระทำใจรักภักดิ์ไมตรีด้วยปู่พระยาเป็นเจ้า”  แสดงให้เห็นว่าทางฝ่ายสุโขทัยนั้นมีศักดิ์เป็นหลาน และทางฝ่ายเจ้าเมืองน่านมีศักดิ์เป็นปู่พระยา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาที่จารึกกับชื่อของเจ้าเมืองน่านตามพงศาวดารเมืองน่าน คือ เจ้าคำตัน  โดยจารึกได้อ้างถึงสายวงศ์เพื่อลำดับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย และยกเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งสองฝ่ายเคารพนับถือเป็นพยาน ให้รักกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน และรวมไปถึงข้าราชบริพารหากคิดคดผิดคำสาบานให้ตกอเวจี และจะคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถ้าเมืองใดเมืองหนึ่งมีอันตรายเกิดขึ้น เมืองนั้นต้องให้ความช่วยเหลือ หากผิดคำสาบานเกิดชาติหน้าไม่ได้พบพระพุทธศาสนา ซึ่งจารึกทั้งสองหลักนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเมืองน่านและสุโขทัย ที่มีต่อกันนอกเหนือไปจากอำนาจทางด้านการเมืองการปกครอง 
ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านและสุโขทัย
--- เมืองน่านปรากฏชื่ออยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๑ (จารึกพ่อขุนรามคำแหง) จารึกขึ้นในราวพุทธศักราช ๑๘๓๕ ด้านที่ ๔ บรรทัดที่ ๒๕ โดยปรากฏชื่อ “เมืองปัว” ซึ่งเป็นชื่อเมืองในสมัยประวัติศาสตร์แรกเริ่มของเมืองน่านภายใต้ราชวงศ์ภูคา ร่วมกับชื่อหัวเมืองอื่นๆที่อยู่ในอาณาเขตของสุโขทัย ความว่า “เมืองแพร่ เมืองม่าน เมืองน.... เมืองพลัว (ปัว)....” 
--- ต่อมาในสมัยของพระยาการเมือง (พ.ศ. ๑๘๙๖ - ๑๙๐๖) ครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงไปช่วยพระยาลิไทย กษัตริย์กรุงสุโขทัยสร้างวัดหลวงอภัย พระยาลิไทยจึงได้มอบพระธาตุ ๗ องค์ พระพิมพ์เงิน และพระพิมพ์ทองอย่างละ ๒๐ องค์ ให้กับพระยาการเมือง พระยาการเมืองจึงได้นำพระธาตุและพระพิมพ์ที่ได้มาบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นที่ภูเพียงแช่แห้ง เรียกว่า “พระธาตุแช่แห้ง” และในปี พ.ศ. ๑๙๐๒ พระยาการเมืองจึงได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองปัวมาสร้างที่เวียงภูเพียงแช่แห้ง 
 โดยปรากฏในพงศาวดารเมืองน่าน (ฉบับวัดพระธาตุช้างค้ำ) ความว่า “...เจ้าพระยาครานเมืองท่านอยู่เสวยราชสมบัติแล้ว อยู่มาบ่นานเท่าใดพระยาตนหนึ่งชื่อว่า โสปัตตคันธิ อยู่เสวยเมืองสุโขทัยใช้มาราธนาเชิญเอาพระยาครานเมืองเมือช่วยพิจารณาส้าง (สร้าง) วัดหลวงอภัยกับด้วยพระยาสุโขทัยหั้นแล เมื่อนั้นพระยาครานเมืองก็ลงไปช่วยค้ำชู พระยาโสปัตตคันธิ แท้หั้นแล ครั้นสร้างบอระมวน (บรมวล)แล้ว พะยาโสปัตตคันธิ ก็มีความยินดีซึ่งพระยาครานเมืองแล้วก็เอาพระธาตุเจ้า ๗ องค์ พระพิมพ์คำ ๒๐ องค์ พระพิมพ์เงิน ๒๐ องค์ ดั่งวรรณะพระธาตุเจ้านั้นต่างกัน คือ ๒ องค์เท่าพันธุ์หอมป้อม มีวรรณะดั่งแก้ว ๓ องค์ มีวรรณะดั่งมุก ๒ องค์ มีวรรณะดั่งคำเท่าเม็ดงาดำหั้นแล...”
--- ชื่อ “เมืองน่าน” ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในศิลาจารึกหลักที่ ๘ (จารึกเขาสุมนกูฏ) พบที่เขาพระบาทใหญ่  ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ซึ่งจารึกขึ้นระหว่างรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒ (ลิไทย) ราวปี พ.ศ. ๑๙๑๒ ความว่า “....เบื้องเหนือน้ำน่านถี แดนเจ้าพระญาผากองเจ้าเมืองน่านเมืองพลัว...” (ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๙ - ๒๐) 
--- ความสัมพันธ์ทางด้านการเมืองการปกครอง ในด้านของการรบและการช่วยเหลือกันในยามศึกสงคราม หรือการลี้ภัยทางการเมืองเมื่อยามพ่ายแพ้สงครามระหว่างเมืองน่านและสุโขทัย ปรากฏอยู่หลายครั้งในประวัติศาสตร์ เช่น  
พ.ศ. ๑๙๑๙ พระยาผากองเจ้าเมืองน่านได้ยกทัพลงไปช่วยพระยาคำแหงรบกับพระบรมราชาธิราช ที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) แห่งกรุงศรีอยุธยาที่เสด็จขึ้นมาตีเมืองซากังราว 
พ.ศ. ๑๙๔๒ พระยาเถระ เจ้าเมืองแพร่  และพระยาอุ่นเมือง เข้ายึดเมืองน่านและประหารเจ้าศรีจันต๊ะ เจ้าหุงผู้เป็นน้องหนีไปพึ่งพระยาเชลียง และได้ขอกำลังจากสุโขทัยให้ยกกองทัพขึ้นมาช่วยตีเอาเมืองน่านคืนมา 
พ.ศ. ๑๙๙๓ พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ล้านนา ราชวงศ์มังราย ยกกองทัพมาตีเพื่อผนวกรวมเมืองน่านเข้าเป็นเมืองบริวารของอาณาจักรล้านนา เมื่อเมืองน่านพ่ายแพ้ เจ้าอินต๊ะแก่นท้าว จึงได้นำครอบครัวลี้ภัยไปอยู่ที่เมืองสุโขทัย 
 --- งานศิลปกรรมแบบสุโขทัยที่ปรากฏในเมืองน่าน ได้แก่ เจดีย์ช้างล้อม วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เป็นเจดีย์ช้างล้อมทรงระฆังฐานสี่เหลี่ยม ส่วนล่างสุดทำเป็นฐานปัทม์ ถัดขึ้นไปเป็นชั้นช้างล้อม มีช้างโผล่ออกมาครึ่งตัว ด้านละ ๕ เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก ๔ เชือก ปลายงวงจรดแท่นฐานบัวที่รองรับอยู่ทางด้านล่าง เหนือชั้นช้างล้อมทำเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ชั้น รับฐานบัวและลูกแก้วและหน้ากระดานกลมที่อยู่ทางตอนบนชั้นมาลัยเถาทำเป็นหน้ากระดานบัวคว่ำซ้อนกัน ๓ ชั้น รองรับบัวปากระฆังและองค์ระฆังทรงกลม ส่วนยอดเป็นบัลลังก์สี่เหลี่ยม ปล้องไฉนและปลียอด เจดีย์นี้แม้จะได้รับการซ่อมแซมหลายครั้ง แต่ก็ยังคงรูปแบบเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากเจดีย์ศิลปะสุโขทัยไว้ได้มากพอสมควร เป็นต้นว่าชั้นช้างล้อม ชั้นหน้ากระดานสี่เหลี่ยมและชั้นมาลัยเถาซึ่งทำเป็นบัวคว่ำซ้อนกัน ๓ ชั้น
--- เจดีย์วัดสวนตาล องค์เดิมเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ (เจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม) แบบสุโขทัย ต่อมาพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้านครน่าน โปรดให้บูรณะขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้แก้ไขรูปทรงเป็นเจดีย์ยอดปรางค์ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จากภาพถ่ายเก่าสันนิษฐานว่าส่วนฐานคงเป็นฐานหน้ากระดานสี่เหลี่ยมซ้อนกัน รองรับเรือนธาตุย่อเก็จซึ่งยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ส่วนยอดเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ มีปล้องไฉนและปลียอด ตามแบบเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ ศิลปะสุโขทัย เจดีย์นี้คงสร้างขึ้นราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ หลังจากเจ้าพระยาผากองสร้างเมืองน่านในปี พ.ศ. ๑๙๑๑ 
--- พระพุทธรูปแบบศิลปะสุโขทัยในเมืองน่าน  เช่น พระพุทธรูป ๕ พระองค์ สร้างโดยพระยาสารผาสุม เมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๐ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุช้างค้ำฯ ๓ องค์ และวัดพญาภู ๒ องค์ โดยเป็นพระพุทธรูปปางลีลา ๔ องค์ และปางประทานอภัยสองพระหัตถ์ ๑ องค์   พระพุทธรูปทั้ง ๕ องค์ มีพระพักตร์ค่อนข้างยาวรีเป็นรูปวงไข่ ขมวดเกศาม้วนเป็นก้นหอย รัศมีเหนืออุษณีษะเป็นเปลวเพลิง ส่วนพระอังสาค่อนข้างใหญ่ พระอุระนูน พระพุทธรูปปางลีลา ๔ องค์ครองจีวรห่มเฉียงเปิดพระอังสาขวา ชายจีวรยาวลงมาจรดพระนาภี ส่วนปลายแยกออกเป็นเขี้ยวตะขาบ ส่วนพระพาหาและพระกรทอดลงมาเป็นเส้นโค้งจากพระอังสา จะยาวจรดลงมาที่พระชงฆ์ ส่วนพระพุทธรูปปางประทานอภัยสองพระหัตถ์ครองจีวรห่มคลุม
 --- กล่าวโดยสรุปได้ว่า นอกจากจารึกคำปู่สบถ และจารึกปู่ขุนจิดขุนจอดที่มีเนื้อหาอันแสดงถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านและสุโขทัยดังที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าเมืองน่านและสุโขทัยยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันตลอดมา ทั้งในด้านการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  การช่วยเหลือเกื้อกูลกันยามเมื่อเกิดศึกสงคราม ในด้านหลักฐานงานศิลปกรรมที่ปรากฏก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลและแรงบันดาลใจจากศิลปะสุโขทัย ที่มีต่อการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมในเมืองน่านด้วยเช่นกัน อันได้แก่ เจดีย์ช้างล้อม วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ วัดสวนตาล   และพระพุทธรูป ๕ พระองค์ ที่สร้างโดยพระยาสารผาสุมเจ้าเมืองน่าน ในส่วนพระพุทธรูปแบบศิลปะสุโขทัยในเมืองน่านนั้น มิได้มีเพียงแต่ที่นำเสนอในครั้งนี้เท่านั้น ซึ่งคงจะได้นำเสนอรายละเอียดในโอกาสต่อไป
เอกสารอ้างอิง/ภาพประกอบ
- สุรศักดิ์ ศรีสำอาง และคณะ. เมืองน่าน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ และศิลปะ. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. ๒๕๓๗. 
- สำนักศิลปากรที่ ๗ น่าน. พงศาวดารเมืองน่าน ฉบับวัดพระธาตุช้างค้ำ. ๒๕๕๗.
- สำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่. สังเขปประวัติศาสตร์และโบราณคดีจังหวัดน่าน ฉบับคู่มือ อส.มศ. ไม่ระบุปีที่พิมพ์.
- ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกเขาสุมนกูฎ. https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/201
- ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกคำปู่สบถ. https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/225
- ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกปู่ขุนจิดขุนจอด. https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/107
- ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). จารึกพ่อขุนรามคำแหง. https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/47
- อริย์ธัช นกงาม. “ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านกับสุโขทัยและล้านนา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๒ จากหลักฐานทางโบราณคดี”.   วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร  มหาบัณฑิต สาขาวิชาโบราณคดี ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ๒๕๖๑.
 

(จำนวนผู้เข้าชม 6315 ครั้ง)