...

เนื้อความส่วนหนึ่งจากหนังสือ อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร

...วันนั้น (๒๒ ตุลาคม ๒๔๕๓) บรรยากาศเงียบเหงามาก บนพระที่นั่งก็สงัด โดยปกติเวลาใกล้เที่ยงจะมีผู้คนเดินขวักไขว่ เพราะพระเจ้าอยู่หัวบรรทมตื่นแล้ว.....แต่วันนี้ไม่มีเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงพูดกัน ผู้เขียนได้แต่สันนิษฐานว่าคงทรงประชวรหนัก...
...ขอทวนกล่าวถึงฝ่ายผู้เขียนว่า ในระยะนั้นต้องนอนพักในเวลากลางวันเพื่อรับเวรในเวลากลางคืน เฉพาะในวันนี้หลับไม่ลงเพราะใจเป็นห่วงและทุกคนก็นั่งจับเจ่าเหงาหงอยตาจ้องไปทางชั้น ๓ ของพระที่นั่งอัมพรสถาน...
...จนพลบค่ำจึงจำเป็นต้องบังคับตัวเองให้นอน เพราะอีกไม่ช้าก็ต้องไปรับเวร ในที่สุดก็หลับไป มาตกใจตื่นเพราะมีตัวอะไรมากัดหัวแม่เท้าจนเลือดไหล พร้อมกันก็ได้ยินเสียงหนูประมาณว่าหลายสิบตัวยกขบวนกันวิ่งไปวิ่งมาเหนือฝ้าเพดานในอาคารที่ผู้เขียนอยู่.....พวกหนูยังส่งเสียงร้องกุกๆๆ ตลอดเวลา ผู้เขียนเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่ากันว่าเมื่อหนูร้องกุกๆ จะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น...
...ขณะนั้นเวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา เห็นจะได้ บรรยากาศเงียบสงัด.....แต่เมื่อมองไปยังพระที่นั่งอัมพรฯ ซึ่งมองเห็นพระบัญชรชั้น ๓ ถนัด ทันใดนั้นผู้เขียนก็เห็นดวงดาวหนึ่งส่องแสงสว่างลอยอยู่ในระดับเดียวกับพระแท่นบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เขียนคะเนได้เพราะเคยขึ้นเฝ้าเวลาเสวยเนืองๆ ดาวนี้มีแสงสว่างมากยิ่งกว่าดาวใดๆ ที่ผู้เขียนเคยเห็นและมีหางพาดยาวไปทางพระที่นั่งอนันตสมาคมคล้ายแสงไฟฉายใหญ่ๆ จึงทราบว่าเป็นดาวหางเฮลี่ (Haileys Comet) ที่โจษจันกันในขณะนั้น ผู้เขียนยืนพิงประตูไม่อาจเคลื่อนไหวได้อยู่พักหนึ่ง จึงได้สติว่าต้องไปเปลี่ยนเวร...
...ชั้น ๓ เงียบกริบ ได้ยินแต่เสียงคล้ายเสียงกรนมาจากห้องพระบรรทม.....เนื่องจากผู้เขียนไม่เคยเห็นอาการเจ็บในขณะหนัก ซึ่งภาษาสมัยใหม่เรียกว่าเข้าขั้นโคม่า ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงคล้ายเสียงกรนจึงนึกว่าในหลวงทรงสบายขึ้นแล้ว และกำลังบรรทมหลับสนิท จึงดีใจเป็นอันมากนึกว่าจะนอนให้สบายเสียที และได้ล้มตัวลงนอนที่ปลายพระบาทสมเด็จ.....มารู้ตัวตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงร้องเซ็งแซ่.....เห็นคนจำนวนมากมายกำลังหมอบซบกับพื้นเป็นกองๆ ไม่ทราบว่าใครเป็นใคร.....เมื่อผู้เขียนทราบว่าเสียงเซ็งแซ่ข้างต้นเป็นเสียงร้องไห้ของคนจำนวนมากพร้อมๆ กัน จึงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว
...ต่อมาผู้เขียนได้รับหมายให้ไปเป็นนางร้องไห้ ให้ไปตั้งแต่ ๘ โมงเช้าในวันนั้น โดยแต่งชุดขาวทั้งชุด.....ผู้เขียนได้ไปนั่งร้องไห้อยู่ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การร้องไห้นั้นแท้จริงเป็นการร้องเพลงอย่างเศร้าที่สุด เกิดมาผู้เขียนก็เพิ่งเคยได้ยิน ขณะนั้นผู้เขียนอายุในราว ๑๙ - ๒๐ และรู้สึกว่าเพลงร้องไห้นี้ช่างเศร้าเสียนี่กระไร...
เนื้อความส่วนหนึ่งจากหนังสือ อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร (สำนักพิมพ์สารคดี)

(จำนวนผู้เข้าชม 705 ครั้ง)